หนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้คนส่วนใหญ่ยังกังวลที่จะซื้อรถยนต์ไฟฟ้า (EV) นั่นคือค่าการบำรุงรักษาแบตเตอรี่ ซึ่งหลายท่านก็คงพอจะทราบกันดีว่าค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแบตเตอรี่นั่นค่อนข้างสูง อาจจะสูงถึงเกือบครึ่งหนึ่งของราคารถยนต์ไฟฟ้าเลย โดยปกติแล้วค่ายรถยนต์ต่างๆก็จะมีการรับประกันแบตเตอรี่ให้ระยะเวลาหนึ่ง เฉลี่ยแล้วอยู่ที่ประมาณ 5-8 ปี (ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละค่าย)
สมมติว่าวันนี้ผมได้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาแล้วเป็นระยะเวลา 8 ปี แล้วแบตเตอรี่รถยนต์ของผมเริ่มมีประสิทธิภาพลดลง ทำให้จำเป็นต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ เมื่อเข้าศูนย์ซ่อมบริการ ทางศูนย์ฯ ก็คงจะตรวจสอบว่ามี Module ไหนบ้างที่จำเป็นต้องเปลี่ยน ซึ่ง Module ตัวนึงก็มีราคาเป็นหลักหมื่นครับ ถึงตรงนี้บางคนอาจจะกำลังสัยถึงวิธีในการเปลี่ยนแบตเตอรี่กันอยู่ ซึ่งก็สามารถเข้าไปหาอ่านกันได้ตาม Link ด้านล่างนี้เลยครับ (ทางเว็บไซต์ Blink Drive ได้ให้รวบรวมค่าอะไหล่ของรถ MG ZS EV กันไว้แล้ว)
จากสาเหตุข้างต้นที่ผมได้กล่าวมา ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแบตเตอรี่หลังจากหมดประกันไปแล้วก็ค่อนข้างสูงอยู่ใช่ไหมครับ วันนี้ผมจึงอยากจะมาเล่าให้ทุกคนฟังกันครับว่าเราสามารถที่จะยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ของเราให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้อย่างไรกันบ้าง ซึ่งผมก็ได้รวบรวมเป็นเทคนิดดีๆ 5 ข้อให้ทุกคนแล้ว ตามด้านรายละเอียดด้านล่างนี้ครับ
1) หลีกเลี่ยงการชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม 100%
จริงอยู่ว่าการชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม 100% นั้น จะทำให้เราสามารถขับรถยนต์ไปได้ระยะไกลสูงสุด เท่ากับขนาดแบตเตอรี่ของตัวรถยนต์ แต่พฤติกรรมการใช้งานจนแบตเตอรี่เหลือจนเกือบศูนย์เปอร์เซ็นต์และทำการชาร์จกลับเข้าไปใหม่จนเต็ม 100% นั้นส่งผลให้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่นั้นลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งค่ายรถยนต์บางค่ายได้มีตั้งค่าให้ชาร์จแบตเตอรี่ได้จนถึงแค่ 80 % เพื่อให้เกิดความง่ายต่อผู้ใช้งานเราเพียงแค่พยายามให้แบตเตอรี่ของเราอยู่ที่ระดับ 30% -80 % อยู่ตลอดก็เพียงพอแล้ว ยกตัวอย่างเช่นถ้าผมทราบว่าการเดินทางในชีวิตประจำวันของผมจากบ้านไปที่ทำงานและจากที่ทำงานกลับบ้านในหนึ่งวัน นั้นจะใช้แบตเตอรี่ไปประมาณ 30% นั่นหมายความว่าถ้าผมชาร์จแบตเตอรี่ให้อยู่ที่ 80% ในทุกครั้ง เวลาผมกลับมาถึงบ้านแบตเตอรี่ของผมก็จะลดลงเหลือ 50% ในทุกวัน ซึ่งเราก็แค่เติมแบตเตอรี่กลับเข้าไป 30% ในทุกๆครั้งนั่นเอง แต่หากมีวันไหนที่ผมจำเป็นต้องเดินทางไปต่างจังหวัดไกลๆผมเองก็อาจจะชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม 100% และวางแผนหาจุดชาร์จในระหว่างเส้นทางการเดินทางซึ่งผมก็จะชาร์จเต็มแค่ 100% ในบางครั้งที่จำเป็นเท่านั้น อีกข้อดีหนึ่งของการชาร์จแบตเตอรี่แค่ 80% คือระบบ Regenerative Braking นั้นสามารถที่จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลองคิดดูนะครับว่าถ้าคุณชาร์จแบตเตอรี่มาเต็ม 100% และเปิดระบบ Regenerative Braking ไว้ ไฟที่ได้มานั้นก็ไม่สามารถเก็บเข้าแบตเตอรี่ได้อยู่ดีเพราะแบตเตอรี่ของเรานั้นไฟเต็มอยู่แล้วนั่นเอง
2) การชาร์จแบตเตอรี่บ่อยๆ ไม่ได้ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว ถ้าชาร์จอย่างถูกวิธี
เนื่องจากแบตเตอรี่ รถยนต์ไฟฟ้าที่เราใช้นั้นเป็นชนิด Lithium-ion ซึ่งจะไม่มีผลกับเรื่อง Memory Effect หรือพูดง่ายๆคือ จำนวนครั้งที่เราชาร์จไม่ได้มีผลต่ออายุการใช้งานแบตเตอรี่ เราเพียงแต่รักษาระดับแบตเตอรี่ของเราให้อยู่ในช่วง 30%-80% ตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นก็เพียงพอแล้ว
3) เลือกใช้โหมดไฟฟ้า 100% ให้ถูกช่วงเวลา สำหรับรถยนต์ Plug-in Hybrid
สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าประเภท Plug-in Hybrid นั้นเราสามารถที่จะเลือกใช้โหมดไฟฟ้า 100% ได้ แต่อย่างไรก็ตามเราไม่ควรจะใช้โหมดนี้ในสถานการณ์ที่ตัวรถต้องการใช้พละกำลังสูงเป็นเวลานาน เช่น ขณะรถยนต์กำลังขับขึ้นเขาเป็นระยะทางยาว เนื่องจากอาจทำให้มีการใช้พลังงานไฟฟ้าจนหมดความจุของแบตเตอรี่ได้ ในสถานการณ์ที่เราต้องขึ้นเขาเป็นระยะทางยาว ให้เราเปลี่ยนจากโหมดไฟฟ้า 100% เป็นโหมดการใช้น้ำมันจะช่วยให้คุณช่วยรักษาประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ไว้ได้
4) อย่าจอดรถยนต์ไฟฟ้าทิ้งไว้กลางแดด
โดยปกติแล้วรถยนต์ไฟฟ้าจะมีระบบจัดการความร้อนภายในตัวรถอยู่ (Thermal Management) เพื่อรักษาอุณหภูมิของแบตเตอรี่ให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสม ถ้าหากว่าคุณจอดรถยนต์ทิ้งไว้กลางแดดเป็นระยะเวลานาน ระบบการจัดความร้อนก็จะทำงานอยู่ตลอดซึ่งนั่นก็จะทำให้เกิดการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ในระหว่างการจอดอยู่กลางแดดนั่นเอง สำหรับช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการทำงานของแบตเตอรี่จะอยู่ที่ประมาณ 20 องศาเซลเซียส ตามกราฟด้านล่าง
5) ไม่ใช้การชาร์จแบบ DC บ่อยจนเกินไป
การชาร์จแบบ DC หรือแบบไฟฟ้ากระแสตรงนั้นช่วยลดระยะเวลาในการชาร์จและเพิ่มความคล่องตัวในการเดินทางไกลให้เราได้พอสมควร แต่ถึงกระนั้น การชาร์จในลักษณะนี้กลับส่งผลต่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่ที่ลดลง เนื่องจากการชาร์จลักษณะนี้จะมีการอัดประจุเข้าไปเป็นจำนวนมากในระยะเวลาอันสั้น ในต่างประเทศได้มีสถิติเกี่ยวกับค่าความเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่ในกรณีที่ใช้ระบบชาร์จแบบ DC ว่าค่าประสิทธิภาพของแบตเตอรี่จะลดลงไปมากกว่าการชาร์จแบบ AC ประมาณ 1% ในทุกๆ 1 ปี ยกตัวอย่างเช่น คุณใช้รถยนต์ไฟฟ้าไปแล้วเป็นเวลาประมาณ 10 ปี คันแรกใช้ระบบการชาร์จแบบ AC ตลอดการใช้งาน ส่วนคันที่2 มีการชาร์จแบบ DC ค่อนข้างบ่อย ผลปรากฏว่า รถคันแรก (ชาร์จแบบ AC) ประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ลดลงเหลือ 80% ส่วนคันที่สอง (ชาร์จแบบ DCค่อนข้างบ่อย) ประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ลดลงเหลือ 70% ซึ่งถ้าเราไม่มีความจำเป็นที่ต้องเดินทางไกลบ่อยๆ ผมแนะนำให้เราชาร์จแบตเตอรี่แบบไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) ก็เพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันแล้วครับ
วิเคราะห์และสรุป
จากหลักการเบื้องต้นเป็นเพียงข้อแนะนำในวิธีในการชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ผู้ใช้งานจะต้องลองปรับให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการใช้งานของแต่ละบุคคล ซึ่งผู้เขียนบทความมีจุดประสงค์อยากจะให้ผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้ามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นและสามารถใช้รถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
ช่องทางในการติดต่อกับทีมงาน
Line ID:@228tslca
Kommentare